2-3 เดือนที่ผ่านมา มีโอกาสรู้จักกับคนที่เรียกตัวเองว่า “Foodie” บนโลกโซเชี่ยล และได้ไปร่วมกิจกรรมที่เขาจัดขึ้น ทำให้รู้ว่าการเล่นโซเชี่ยลแบบมีเป้าหมาย (ขอย้ำ “แบบมีเป้าหมาย”) ก็มีประโยชน์เหมือนกัน
จากการที่เขาชอบ “กิน” ทำให้ชอบเสาะแสวงหาร้านอาหารอร่อย ๆ เพื่อไป “กิน” กินเสร็จแล้ว ชอบเมนูไหนหรือไม่ชอบเมนูไหน ก็เอามาโพสต์ใส่เฟส ใส่ไอจี พร้อมใส่เม้นท์ของตัวเอง จนมีคนมาติดตามกันมากมายถึงหลักหมื่นคนทีเดียว บรรดาร้านอาหารและบริษัทพีอาร์ รวมทั้งพวกที่ทำด้านโซเชี่ยลมีเดียให้กับร้านอาหารหรือของกินทั้งหลายปรายตามาให้ความสำคัญกับเขาคนนี้ ในฐานะผู้มีอิทธิพลทางความคิดคนหนึ่งในกลุ่มผู้บริโภคที่เล่นโซเชี่ยลมีเดียทั้งหลาย ดังนั้น พอมีงาน "กิน“ จึงเชิญ Foodie นายนี้ไปกินด้วย เพื่อหวังให้เขาเอาไปเม้นท์ในไอจีของเขา เพื่อทำให้บรรดาผู้ติดตามไอจี รู้ข่าวและสนใจผ่านไปกินตามร้านเหล่านี้กันบ้าง
หลังจากผ่านไประยะหนึ่ง เกิดปิ๊งไอเดีย ไปตกลงกับร้านอาหารจัดเมนูเป็นเซ็ต แล้วขายบัตรในไอจี ใช้ Theme การพบปะสังสรรค์ตามประสาคนชอบกิน หรืออยากหาเพื่อน ผู้ติดตามไอจีทั้งหลาย Sign up จ่ายตังค์ไปกิน บางคนกินไปคุยไปกับคนในโต๊ะเดียวกัน ถูกใจก็เป็นเพื่อนแลกเบอร์กัน ชวนกันไปกิน (อาหาร) ในคราวต่อ ๆ ไป บางคนยังไม่ถูกใจที่จะอยากคบใครที่อยู่โต๊ะกินเดียวกัน ก็แยกย้ายกลับหลังเลิกกิน แต่ละครั้งกลุ่มที่ซื้อบัตรไปกินแตกต่างกัน เพราะบางคนชอบอาหารแบบนี้ บางคนไม่ชอบอาหารแบบนี้ ทำให้การพบปะมีการหมุนเวียนพบเจอคนใหม่ ๆ ไปเรื่อย ๆ ส่วนเรื่องจะเลยเถิดกันไปกินอะไรกันไหนต่อไหนหลังเลิกกินอาหาร อันนี้ไม่ทราบได้ เพราะไม่ได้ตามไปดู
คำถามว่า คนจัดคนนี้ได้อะไร ได้กำไรค่ะ กำไรเห็น ๆ เขาไปตกลงกับร้านอาหารไว้ จัดเมนู คิดราคา แล้วเขาบวกกำไรให้ราคาสุดท้ายเหมาะสมสำหรับคนอยากกินที่ต้องจ่ายผู้ซื้อบัตรไปกิน ไม่ใช่ว่าราคาอาหารร้านแบบนี้ เมนูแบบนี้ และงบประมาณส่วนตัวสำหรับคนทั่วไป น่าจะสัก 25-30 เหรียญ แต่ถ้าไปคิด 50 เหรียญ ก็ไม่มีใครไปกินเพราะแม้จะอยากกิน แต่จ่ายไม่ไหว หรือถ้าคิดถูกเกินไปจัดไปก็เท่านั้น ไม่คุ้มค่าคุ้มเวลา บางร้านมีเมนูที่จัดเซ็ตไว้อยู่แล้ว ราคาต่อคน สมมุติว่า 33 เหรียญ เขาขาย 33 เหรียญเท่ากัน แต่.....ต่อ 2 คน คนที่จ่ายตังค์มากินไม่รู้ว่าราคาเท่าไร เพราะไม่เคยกินร้านนี้มาก่อน มาถึงก็คุยกันกับคนในโต๊ะตัวเอง ไม่ได้สนใจอย่างอื่น คนจัดกำไร 50% ร้านอาหารนอกจากได้คนมากินจนดูเต็มร้าน ได้ความมั่นใจว่าคืนนี้มื้อนี้ได้ลูกค้าแล้วตามจำนวนคนที่มากับกลุ่ม แถมยังมีรายได้จากเครื่องดื่มด้วย เพราะเวลามาพบปะแบบนี้ เบียร์ ค็อกเทล ชาร้อน หรืออะไรก็ตามที่ต้องเสียเงิน จะขายได้ ในขณะที่คนที่มากินในร้านปกติขอน้ำเปล่าที่ไม่ต้องเสียตังค์เสียมากกว่า
คำว่าซื้อบัตร แท้จริงไม่เชิงซื้อบัตร คนจัดไม่ได้พิมพ์บัตรมาขาย แต่เป็นการซื้อที่นั่ง จ่ายเงินผ่าน PayPal หรือบัตรเครดิต หรือเช็ค หรือเงินสด ได้หมด และต้องจ่ายก่อนกิน เมื่อถึงเวลาจ่ายตังค์แล้วจะมาหรือไม่แล้วแต่ใจคนจ่าย
การจัดโต๊ะจัดสถานที่ ขอบอกไม่มีการลงทุนค่ะ แบบไหนแบบนั้น ไม่ต้องมีป้าย ไม่ต้องมีประกาศอะไรทั้งสิ้น แค่จัดโต๊ะให้ดูเป็นกลุ่มเป็นก้อน เป็นพวกเดียวกันที่มากินด้วยกัน หากร้านเล็ก ๆ มีโต๊ะไม่มากจัดแบบโต๊ะโรงอาหารแล้วนั่งรวมกัน เท่านี้เอง
รู้อย่างนี้แล้ว คุณคนที่เล่นโซเชียลมีเดียเป็นกิจวัตรทั้งหลาย ที่มีคนติดตามมากมาย จะลองทำมาหากินแบบนี้คงเข้าท่า อย่าลืมมาชวนกันบ้างเพราะเป็นคนชอบ “กิน” เช่นกันค่ะ
P.K. Yui- Thai Radio Canada
21 มีนาคม 2559
จากการที่เขาชอบ “กิน” ทำให้ชอบเสาะแสวงหาร้านอาหารอร่อย ๆ เพื่อไป “กิน” กินเสร็จแล้ว ชอบเมนูไหนหรือไม่ชอบเมนูไหน ก็เอามาโพสต์ใส่เฟส ใส่ไอจี พร้อมใส่เม้นท์ของตัวเอง จนมีคนมาติดตามกันมากมายถึงหลักหมื่นคนทีเดียว บรรดาร้านอาหารและบริษัทพีอาร์ รวมทั้งพวกที่ทำด้านโซเชี่ยลมีเดียให้กับร้านอาหารหรือของกินทั้งหลายปรายตามาให้ความสำคัญกับเขาคนนี้ ในฐานะผู้มีอิทธิพลทางความคิดคนหนึ่งในกลุ่มผู้บริโภคที่เล่นโซเชี่ยลมีเดียทั้งหลาย ดังนั้น พอมีงาน "กิน“ จึงเชิญ Foodie นายนี้ไปกินด้วย เพื่อหวังให้เขาเอาไปเม้นท์ในไอจีของเขา เพื่อทำให้บรรดาผู้ติดตามไอจี รู้ข่าวและสนใจผ่านไปกินตามร้านเหล่านี้กันบ้าง
หลังจากผ่านไประยะหนึ่ง เกิดปิ๊งไอเดีย ไปตกลงกับร้านอาหารจัดเมนูเป็นเซ็ต แล้วขายบัตรในไอจี ใช้ Theme การพบปะสังสรรค์ตามประสาคนชอบกิน หรืออยากหาเพื่อน ผู้ติดตามไอจีทั้งหลาย Sign up จ่ายตังค์ไปกิน บางคนกินไปคุยไปกับคนในโต๊ะเดียวกัน ถูกใจก็เป็นเพื่อนแลกเบอร์กัน ชวนกันไปกิน (อาหาร) ในคราวต่อ ๆ ไป บางคนยังไม่ถูกใจที่จะอยากคบใครที่อยู่โต๊ะกินเดียวกัน ก็แยกย้ายกลับหลังเลิกกิน แต่ละครั้งกลุ่มที่ซื้อบัตรไปกินแตกต่างกัน เพราะบางคนชอบอาหารแบบนี้ บางคนไม่ชอบอาหารแบบนี้ ทำให้การพบปะมีการหมุนเวียนพบเจอคนใหม่ ๆ ไปเรื่อย ๆ ส่วนเรื่องจะเลยเถิดกันไปกินอะไรกันไหนต่อไหนหลังเลิกกินอาหาร อันนี้ไม่ทราบได้ เพราะไม่ได้ตามไปดู
คำถามว่า คนจัดคนนี้ได้อะไร ได้กำไรค่ะ กำไรเห็น ๆ เขาไปตกลงกับร้านอาหารไว้ จัดเมนู คิดราคา แล้วเขาบวกกำไรให้ราคาสุดท้ายเหมาะสมสำหรับคนอยากกินที่ต้องจ่ายผู้ซื้อบัตรไปกิน ไม่ใช่ว่าราคาอาหารร้านแบบนี้ เมนูแบบนี้ และงบประมาณส่วนตัวสำหรับคนทั่วไป น่าจะสัก 25-30 เหรียญ แต่ถ้าไปคิด 50 เหรียญ ก็ไม่มีใครไปกินเพราะแม้จะอยากกิน แต่จ่ายไม่ไหว หรือถ้าคิดถูกเกินไปจัดไปก็เท่านั้น ไม่คุ้มค่าคุ้มเวลา บางร้านมีเมนูที่จัดเซ็ตไว้อยู่แล้ว ราคาต่อคน สมมุติว่า 33 เหรียญ เขาขาย 33 เหรียญเท่ากัน แต่.....ต่อ 2 คน คนที่จ่ายตังค์มากินไม่รู้ว่าราคาเท่าไร เพราะไม่เคยกินร้านนี้มาก่อน มาถึงก็คุยกันกับคนในโต๊ะตัวเอง ไม่ได้สนใจอย่างอื่น คนจัดกำไร 50% ร้านอาหารนอกจากได้คนมากินจนดูเต็มร้าน ได้ความมั่นใจว่าคืนนี้มื้อนี้ได้ลูกค้าแล้วตามจำนวนคนที่มากับกลุ่ม แถมยังมีรายได้จากเครื่องดื่มด้วย เพราะเวลามาพบปะแบบนี้ เบียร์ ค็อกเทล ชาร้อน หรืออะไรก็ตามที่ต้องเสียเงิน จะขายได้ ในขณะที่คนที่มากินในร้านปกติขอน้ำเปล่าที่ไม่ต้องเสียตังค์เสียมากกว่า
คำว่าซื้อบัตร แท้จริงไม่เชิงซื้อบัตร คนจัดไม่ได้พิมพ์บัตรมาขาย แต่เป็นการซื้อที่นั่ง จ่ายเงินผ่าน PayPal หรือบัตรเครดิต หรือเช็ค หรือเงินสด ได้หมด และต้องจ่ายก่อนกิน เมื่อถึงเวลาจ่ายตังค์แล้วจะมาหรือไม่แล้วแต่ใจคนจ่าย
การจัดโต๊ะจัดสถานที่ ขอบอกไม่มีการลงทุนค่ะ แบบไหนแบบนั้น ไม่ต้องมีป้าย ไม่ต้องมีประกาศอะไรทั้งสิ้น แค่จัดโต๊ะให้ดูเป็นกลุ่มเป็นก้อน เป็นพวกเดียวกันที่มากินด้วยกัน หากร้านเล็ก ๆ มีโต๊ะไม่มากจัดแบบโต๊ะโรงอาหารแล้วนั่งรวมกัน เท่านี้เอง
รู้อย่างนี้แล้ว คุณคนที่เล่นโซเชียลมีเดียเป็นกิจวัตรทั้งหลาย ที่มีคนติดตามมากมาย จะลองทำมาหากินแบบนี้คงเข้าท่า อย่าลืมมาชวนกันบ้างเพราะเป็นคนชอบ “กิน” เช่นกันค่ะ
P.K. Yui- Thai Radio Canada
21 มีนาคม 2559